ทำไมการป้องกันหูจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในอุตสาหกรรม
การป้องกันหูมีความสำคัญด้วยเหตุผลดังนี้
1
การป้องกันการสูญเสียการได้ยิน
การอยู่กับเสียงดังในโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อเวลาผ่านไปสามารถทำให้การสูญเสียการได้ยินอย่างถาวร อุปกรณ์ป้องกันหูช่วยลดความเสี่ยงนี้โดยการลดความเข้มของเสียง ซึ่งจะช่วยรักษาความสามารถในการได้ยินได้
2
การปฏิบัติตามกฎหมาย
หลายประเทศมีกฎระเบียบและมาตรฐานที่กำหนดให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันหูในสถานที่ทำงานที่มีเสียงดัง การปฏิบัติตามกฎช่วยให้มั่นใจว่าสถานปฏิบัติการมีการทำตามกฎหมายและป้องกันค่าปรับที่อาจเกิดขึ้น
3
สุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน
การให้อุปกรณ์ป้องกันหูแสดงให้เห็นถึงการใส่ใจต่อสุขภาพและความปลอดภัยของพนักงาน ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บจากการทำงานและการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับการอยู่ในสถานที่เสียงดัง
4
ผลจากงานผลิตหรือผลการทำงาน
เสียงรบกวนที่มากเกินไปอาจทำให้เสียสมาธิและมีผลทำให้เกิดความเหนื่อยล้า ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง การลดระดับเสียงด้วยอุปกรณ์ป้องกันหู ช่วยให้พนักงานมีสมาธิกับงานได้ดีขึ้นและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5
การป้องกันหูอื้อ
การสัมผัสกับเสียงดังอาจทำให้เกิดหูอื้อ หรือรู้สึกหึ่งในหู การใช้อุปกรณ์ป้องกันหูช่วยป้องกันการเกิดภาวะหูอื้อ ซึ่งอาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตของผู้ปฏิบัติงาน
6
การประหยัดต้นทุนในระยะยาว
การลงทุนในอุปกรณ์ป้องกันหูอาจมีค่าใช้จ่ายในช่วงแรก แต่จะส่งผลให้ประหยัดได้ในระยะยาวด้วยการลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลที่เกี่ยวข้องกับการรักษาการสูญเสียการได้ยินและการเรียกร้องค่าชดเชยจากการบาดเจ็บจากการได้ยินจากเสียงที่ดังในการทำงาน
7
การรักษาการสื่อสาร
ในสภาพแวดล้อมทางอุตสาหกรรมที่มีเสียงดัง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างพนักงานถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการประสานงาน ความปลอดภัย และการทำงานเป็นทีม อุปกรณ์ปกป้องหูที่ลดเสียงรบกวนที่เป็นอันตรายในขณะที่ช่วยให้สามารถสื่อสารได้ชัดเจนช่วยรักษาสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีประสิทธิผล
8
ความพึงพอใจและการรักษาพนักงาน
การให้อุปกรณ์ป้องกันหูที่เหมาะสมแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยในความเป็นอยู่ของพนักงาน ซึ่งสามารถส่งผลให้มีความพึงพอใจในการทำงานสูงขึ้นและทำให้ไม่เกิดโอกาสให้พนักงานลาออกบ่อยๆ
โดยรวมแล้ว อุปกรณ์ปกป้องหูมีบทบาทสำคัญในการปกป้องสุขภาพ ความปลอดภัย และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้ปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมและสถานที่ทำงานที่มีเสียงดังรบกวน ขณะเดียวกันก็รับประกันการปฏิบัติตามกฎระเบียบและส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานได้อีกด้วย

การทำงานในสถานที่ที่มีเสียงดังรบกวน
นอกจากจะส่งผลต่อประสิทธิภาพของงานแล้ว ยังส่งผลต่อสุขภาพของผู้ปฏิบัติหน้าที่ในสถานที่นั้นๆด้วย
กฎหมายเกี่ยวกับระดับเสียงภายในโรงงานของประเทศไทย
ในประเทศไทยมี กฎหมายเกี่ยวกับระดับเสียง ในสถานที่ทำงานตามพรบ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 (1998) และประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม วัสดุ และเทคโนโลยี เรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และมาตรฐานสุขลักษณะทางอากาศสำหรับเสียง ปี 2549 (2006) โดยสรุปกฎหมายเกี่ยวกับระดับเสียงในโรงงานของประเทศไทยได้ดังนี้
กฎหมายคุ้มครองแรงงาน (พ.ศ. 2541)
กฎหมายนี้มุ่งเน้นการคุ้มครองสุขภาพและความปลอดภัยของแรงงานทุกประเภท ซึ่งรวมถึงประเด็นเรื่องเสียงในสถานที่ทำงานด้วย
ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม วัสดุ และเทคโนโลยี เรื่องมาตรฐานความปลอดภัย และมาตรฐานสุขลักษณะทางอากาศสำหรับเสียง (พ.ศ. 2549)
มาตรฐานนี้จะกำหนดระดับเสียงที่ยอมรับได้ในสถานที่ทำงานต่างๆ และระดับเสียงที่ส่งออกจากโรงงาน
การป้องกันและบรรเทาปัญหาเสียง (Noise Prevention and Control)
บางอุตสาหกรรมหรือกิจการอาจต้องการการควบคุมระดับเสียงในการดำเนินงาน เช่น อุตสาหกรรมผลิตเครื่องมือแพทย์ หรืออุตสาหกรรมที่มีการใช้เครื่องจักรหรือเครื่องมือที่ส่งเสียงรบกวน ในกรณีเช่นนี้ก็มักจะมีมาตรการควบคุมระดับเสียงและการป้องกันปัญหาเสียงที่เกิดขึ้นในโรงงาน
การจัดการกับเสียงรบกวนในสถานที่ทำงาน
นอกจากกฎหมายแล้ว หลายโรงงานยังมีนโยบายและมาตรการสำหรับการจัดการกับเสียงรบกวนในสถานที่ทำงาน เช่น การใช้หูฟังกันเสียง การติดตั้งฉากกั้นเสียง หรือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำงานเพื่อลดเสียงรบกวน
การตรวจสอบและประเมินความเสี่ยง
บริษัทอาจจำเป็นต้องทำการตรวจสอบและประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับระดับเสียงในสถานที่ทำงาน เพื่อจัดทำมาตรการป้องกันและควบคุมเสียงให้เหมาะสม
ทั้งนี้ การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เช่นการใช้อุปกรณ์ป้องกันหู การตรวจสอบระดับเสียง และการจัดการกับเสียงรบกวนในสถานที่ทำงาน มีความสำคัญอย่างยิ่งเพื่อความปลอดภัยและสุขภาพของแรงงาน
การทำงานในสถานที่ทำงานที่มีเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ที่ส่งเสียงดัง จำเป็นต้องมีการใช้หูฟังนิรภัยเพื่อป้องกันอันตรายที่ส่งผลต่อสุขภาพ
อุปกรณ์เซฟตี้

มาตรฐานระดับความดังของเสียงที่กำหนด
ในประเทศไทย มาตรฐานสุขภาพและความปลอดภัยอากาศที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุขระบุ กฎหมายเกี่ยวกับระดับเสียง ที่กำหนดให้ไม่เกินค่าที่ 85 เดซิเบล (dB) เมื่อวัดในช่วงเวลา 8 ชั่วโมง ในสถานที่ทำงาน โดยถ้าระดับเสียงเกินกว่านี้ จะต้องมีการใช้อุปกรณ์ป้องกันหู เช่น หูฟังนิรภัยป้องกันเสียงหรือหูฟังช่วยกรองเสียง
โดยมาตรฐานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการเสียดสีจากการได้ยินจากเสียงรบกวนในสถานที่ทำงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้ และทั้งยังเป็นการป้องกันความสูญเสียของการได้ยินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตในผู้ที่ได้รับความเสียดสีของเสียงดังกล่าว
สำหรับงานที่มีเสี่ยงของการสูญเสียการได้ยินที่มากกว่า 90 เดซิเบล จะต้องมีการใช้อุปกรณ์ป้องกันหูแบบพิเศษที่ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อใช้ในสภาพแวดล้อมนั้น และในบางกรณีอาจจำเป็นต้องลดระดับเสียงให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย โดยการใช้มาตรการป้องกันและควบคุมการเกิดเสียงรบกวนในตัวของแหล่งกำเนิดเสียงที่มีผลกระทบต่อความปลอดภัยและสุขภาพของคนงานโดยตรง เช่น
การเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตหรือการใช้งานเครื่องจักรที่มีระดับเสียงสูง การติดตั้งและใช้อุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการลดเสียงรบกวนในตัวของเครื่องจักร หรือการใช้หูฟังป้องกันเสียงหรือหูฟังช่วยกรองเสียงเป็นต้น
Leave a comment